พสกนิกรที่ไม่ได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าฯ ที่เหลืออีกทั้งประเทศ ร่วมแบ่งปัน ประสบการณ์ทางจอภาพ ซึ่งถ่ายทอดความทรงจำครั้งประวัติศาสตร์นี้ทางหน้าจอโทรทัศน์ พร้อมกับเสียงเพลง "การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้" บรรเลงคลอเคล้าตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยืนขึ้นโบกพระหัตถ์
การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้ หรือ Journey on the Earth หนึ่งในเพลงบรรเลงจากอัลบั้มนิพพานที่ "จำรัส เศวตาภรณ์" เจ้าของเพลงดังในอดีต อย่าง "น้ำเซาะทราย" และ "นางนวล" ประพันธ์เอาไว้เมื่อ 5 ปี ที่แล้ว
"ธีมของเพลงนี้ได้สื่อความหมายถึงการเดินทางของดวงจิตไปในที่สูงจนถึงนิพพานของผู้มีบุญบารมีสูงส่ง ที่ได้สั่งสมบุญมานับภพชาติไม่ถ้วนบนโลกใบนี้ ซึ่งผู้มีบุญบารมีก็เปรียบเสมือนพระโพธิสัตว์ที่เกิด และประกอบบุญบารมีมาแล้วหลายภพชาติ และตามชาดกทางศาสนาพุทธก็มีความเชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินคือพระโพธิสัตว์มาเกิด ซึ่งผมพอมีความรู้เรื่องพวกนี้มาบ้างตามประสานักดนตรีที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ดูสารคดี และสนทนาธรรมะกับพระอาจารย์ต่างๆ" จำรัส กล่าว
นักประพันธ์คนดังย้อนเล่าถึงเส้นทางที่เพลง "การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้" ได้รับการนำไปเปิดบรรเลงในวันมหามงคลของปวงชนชาวไทย...
"ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ซึ่งเป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสด ได้แจ้งมาว่าจะขอนำเพลงไปใช้เปิดประกอบ ขณะที่ทำการออกอากาศ เขาให้เหตุผลว่าเป็นเพลงที่มีดนตรีที่มีความเป็นไทยร่วมสมัย และเหมาะสมสำหรับการใช้ในมหามงคลสมัยนี้"
จำรัส บอกอีกว่า ทางไอทีวีได้เลือกเพลงในอัลบั้มต่างๆ ของเขาไปหลานเพลง โดยไม่ได้เจาะจงว่าเพลงไหนที่จะนำไปใช้เปิดประกอบการถ่ายทอดสดพระราชพิธีช่วงใด โดยตัวเขาเองก็เพิ่งทราบว่า เพลง การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้ คือ เพลงที่ถูกเลือกไปใช้ในโอกาสดังกล่าวในการถ่ายทอดสด พร้อมๆ กับที่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศได้ยินทางหน้าจอโทรทัศน์นั่นเอง
"โดยปกติแล้วเพลงนี้มีความยาวราว 10 นาทีครึ่ง ได้ถูกดึงมาใช้เพียง 5-6 นาทีแรกของเพลง ในช่วงที่รถขบวนเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์มาถึงพระที่นั่งอนันตสมาคม และ ช่วงที่เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร"
ความรู้สึกของจำรัส ณ ขณะนั้น... "ไม่คิดว่าจะนำไปใช้เป็นเพลงหลักของงานเลย พอได้ฟังสดๆ ก็ปลื้มใจมากๆ ตอนที่ถูกดึงไปใช้นั้นต้องการสื่อถึงการเดินทางของจิตใจ ที่เปรียบเสมือนภารกิจของทุกชีวิต ซึ่งมนุษย์แต่ละคนที่เกิดมาบนโลกนี้ ต่างก็มีภารกิจแตกต่างกันไป แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระราชภารกิจที่ยิ่งใหญ่กับจิตนาการและประสบการณ์ของผู้ฟัง ซึ่งภาพในวันนี้นั้นยิ่งใหญ่มาก เพลงนี้จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เสริมให้ภาพที่ปรากฏมีความหมายลึกซึ้ง และยิ่งใหญ่ในใจคนไทยมากขึ้นเท่านั้นเอง"
"ปกติคนทำเพลงบรรเลงประกอบ ไม่ว่าจะทางวิทยุหรือโทรทัศน์ หากรู้ว่างานได้นำไปใช้ก็ดีใจมากอยู่แล้ว ยิ่งนำไปใช้ในงานมหามงคลนี้ยิ่งดีใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ ถื่อว่าไม่เสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นนักดนตรีแล้วได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้"
จำรัส เสริมด้วยว่า เดิมทีเพลงดังกล่าวเคยได้รับการนำไปประกอบในงานสำคัญต่างๆ มาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นวาระที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งสร้างความปลาบปลื้มใจมาก
นักประพันธ์เพลงชื่อดัง ย้อนเล่าถึงช่วงเวลาขณะประพันธ์เพลงการเดินทางของใจที่เที่ยงแท้ ว่า เพลงบรรเลงเพลงนี้ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง เดิมทีเพลงนี้ถูกประพันธ์เสร็จครั้งแรกด้วยความยาว 6-7 นาที แต่พอเวลาผ่านไปนานราว 3 ปี จำรัสมองว่า ควรจะประพันธ์ช่วงที่ 2 เติมเข้าไปเพื่อความสมบรูณ์ยิ่งขึ้น จึงส่งให้เพลงนี้มีความยาวเพิ่มเป็น 10 นาทีครึ่ง "ใจจริงๆ ยังต้องการจะต่อเติมเพลงนี้เพิ่มเข้าไปอีกเป็นช่วงที่ 3 แต่เกรงว่าจะมีความยาวมากเกินไป"
"ถ้าใครต้องการฟังก็สามารถแบ่งฟังได้เป็นช่วงๆ การประพันธ์เพลงบรรเลงจึงเปรียบเสมือนเสร็จสมบรูณ์แต่แรกและเข้าอยู่ได้แล้ว แต่พอเวลาผ่านไป 4-5 ปี ก็อยากจะต่อเติมหรือใส่รายละเอียดเพิ่มเติมให้บ้านเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น" จำรัสให้อรรถาธิบานเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับการบันทึกเสียงบทเพลงบทนี้อาศัยเครื่องดนตรีประกอบมากกว่า 10 ชิ้น ได้แก่ ชุดเครื่องสาย คือ ไวโอลิน วิโอลา ชุดเครื่องเป่าได้แก่ ทรัมเป็ต ฮอร์น ชุดเครื่องผิว เช่น ฟลุต นอกจากนี้ ยังมีระนาดไฟฟ้าและกลองทิมพานี เป็นต้น สาเหตุที่ต้องใช้เครื่องดนตรีมากขนาดนี้เนื่องเพราะต้องการสื่อถึงความยิ่งใหญ่ จึงต้องใช้เสียงจากเครื่องดนตรีที่มีลักษณะโทนต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด
นอกจากเพลงการเิดินทางของใจที่เที่ยงแท้แล้วยังมีเพลง "ดุสิต" ในอัลบั้ม นิพพาน และ "บทเพลงแห่งลุมน้ำเจ้าพระยา" ในอัลบั้มบทเพลงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้รับเลือกให้ใช้บรรเลงประกอบการถ่ายทอดสดพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับเสด็จพระราชอาคันตุกะ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมาอีกด้วย
เจ้าของบทเพลงแห่งมหามงคลสมัย กล่าวด้วยว่า "เพลงบรรเลงเป็นสิ่งที่ต้องฟังด้วยใจ" เพราะไม่มีเนื้อเพลงเหมือนเพลงทั่วไปในท้องตลาด อรรถรสที่จะได้รับจากการฟังจึงต้องขึ้นอยู่กับจินตนาการของตัวผู้ฟังเองซึ่งการไม่มีเนื้อเพลงนั้น ทำให้เพลงบรรเลงเป็นภาษาสากลแ้ท้จริงที่ใครๆ ในโลกก็ฟังได้ โดยเครื่องดนตรีทุกชิ้นจะทำหน้าที่สื่ออารมณ์ถึงผู้ฟังแทนเนื้อร้อง
"แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงของผมเกิดขึ้นจากจิตนาการของการเป็นนักดนตรี ที่มีความคิดอยากจะทำเพลงออกมาในลักษณะต่างๆ แทนที่จะเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือก็เปลี่ยนมาบรรยายด้วยดนตรีทีละชิ้นบันทึกลงในแทรคเดี๋ยวนั้นเลยมากกว่า" จำรัสกล่าวอีกว่า "เพลงที่ดีที่สุดของผมยังมาไม่ถึง ในขณะที่เวลาของผมเหลือน้อยลงทุกที" เขาให้เหตุผลว่า เป็นเพราะจินตนาการเกี่ยวกับเพลงที่ต้องการจะทำออกมานั้นยังเกินกว่าจะทำออกมาให้เป็นจริง จำรัสจึงรู้สึกว่า เพลงที่ประพันธ์ขึ้นยังไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับที่เกิดขึ้นในความคิดและจินตนาการของเขา ในชีวิตการเป็นนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงของจำัรัส รางวัลและรายได้มิใช่จุดมุ่งหมายสำคัญ แต่เพียงสิ่งเดียวที่เขาหวังไว้คือ "เมื่อผมตายไปหวังว่าจะมีโอกาสได้เกิดใหม่ และได้กลับมาฟังเพลงของตัวเอง ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เป็นของเราแม้แต่ตัวเราหรือกระทั่งสิ่งที่เราได้สร้างขึ้น... ทุกคนล้วนมีหน้าที่ สิ่งที่ยิ่งกว่าหน้าที่ คือภาวะที่จะทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์" นักประพันธ์เพลงชื่อดังทิ้งท้าย
|